บ.ซีแคนูไทยแลนด์ จำกัด บ้าน ร๊อคการ์เด้นท์ 125/461 บ้านทุ่งคา - บ้านสะปำ ต. รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 โทรศัพท์ 076 528839 - 40 โทรสาร 076 258841 อีเมล์: info@seacanoe.net เว็บไซต์ http://www.seacanoe.net/ Please visit my blog.Thank you so much. http://www.sanamluang.bloggang.com / http://tham-manamai.blogspot.com / http://www.parent-youth.net/ http://www.tzuchithailand.org/ http://www.pdc.go.th/ http://www.presscouncil.or.th / http://thainetizen.org/ http://www.ictforall.org

"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Bookmark and Share
Blognone

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อะเมซิ่ง "เมืองโบราณ" แดนอีสาน

อะเมซิ่ง "เมืองโบราณ" แดนอีสาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2552 11:08 น.
พระพุทธไสยาสน์ที่วัดธรรมจักรเสมาราม
       ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ใครบางคนอาจมองว่าเป็นดินแดน ที่ร้อนและแห้งแล้งนั้น แต่ถ้าค้นลึกลงไปจะพบว่าอีสานเป็นภูมิภาคที่รวมเอาสิ่งดีๆทางการท่องเที่ยว ที่น่าสนใจไว้ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็น วัดวาอาราม ประเพณีวิถีวัฒนธรรม ดินแดนไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี หรือธรรมชาติอันสวยงามแปลกตา
       
       นอกจากนี้อีสานยังเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์อัน เก่าแก่ ที่นอกจากจะสำคัญมากต่อชาติไทยแล้ว ยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลกอีกด้วย ซึ่งทริปนี้ "ตะลอนเที่ยว" มีโอกาสเดินทางสู่อีสานในเส้นทาง "ตามรอยอารยธรรมโบราณ" ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) โดยเริ่มต้นที่จังหวัดนครราชสีมาหรือเมืองโคราช ประตูสู่อีสาน ที่ ต.เสมา อ.สูงเนิน เพื่อเที่ยวชม "เมืองเสมา" มีร่องรอยของชุมชนโบราณในสมัยทวารวดี ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 และมีพัฒนาการสืบเนื่องมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมโบราณ

หลุมขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท
       เมืองเสมา มีการค้นพบโบราณวัตถุมากมาย โดยมีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ คือคือ "พระพุทธไสยาสน์" หรือ"พระนอนหินทราย" ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดธรรมจักรเสมาราม พระนอนองค์นี้ทำจากหินทรายขนาดใหญ่หลายๆก้อนมาประกอบกัน เป็นพระนอนหินทรายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 13.30 เมตร สูง 2.80 เมตร โดยรอบๆองค์พระไสยาสน์ยังพบเสมาหินปักล้อมรอบอยู่ด้วย
       
       นอกจากนั้นในบริเวณเดียวกันยังขุดพบโบราณวัตถุอย่างธรรมจักรหินทราย อันเก่าแก่ เป็นรูปซี่กงล้อ ตอนล่างสลักลายคล้ายหน้าพนัสบดี และเสาสำหรับประดิษฐานธรรมจักร รวมทั้งโบราณวัตถุอื่นๆ เช่น ฐานตั้งรูปเคารพ ส่วนยอดของเจดีย์ แท่นบดยา ชิ้นส่วนประกอบอาคาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้นำมาจัดแสดงไว้ในศาลาภายในวัดธรรมจักรเสมารามนั่นเอง

ฐานที่ตั้งเทวรูปในปราสาทเมืองแขก
       ส่วนโบราณสถานที่ยังหลงเหลือหลักฐานให้เห็นว่ามีชุมชนโบราณอยู่ที่ นี่ก็มีอยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือ ปราสาทเมืองแขก ปราสาทโนนกู่ และปราสาทเมืองเก่า ปราสาทเมืองแขกเป็นโบราณสถานขนาดค่อนข้างใหญ่ ก่อด้วยอิฐและหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในการขุดแต่งพบทับหลังแกะสลักลวดลายต่างๆ ประติมากรรมเทวรูป และศิลาจารึก สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์
       
       ส่วนปราสาทโนนกู่เป็นปราสาทขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู และปราสาทเมืองเก่านั้นสันนิษฐานว่าเป็นโบราณสถานในศาสนาพุทธลัทธิมหายานประ เภทอโรคยาศาล
       
       ที่โคราชยังมีแหล่งอารยธรรมโบราณอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญ ทั้งยังเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งที่สองต่อจากบ้านเชียง ที่จัดทำในลักษณะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง นั่นก็คือ "แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท" ในอำเภอโนนสูง ซึ่งมีหลุมขุดค้นที่ตกแต่งและเปิดให้ชมทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน โดยระดับของหลุมขุดค้นทั้งสามที่มีความลึกที่สุดคือประมาณ 5.50 เมตร ขุดพบโครงกระดูกของมนุษย์ในยุค 3,000 ปีก่อน ส่วนในระดับชั้นดินที่ตื้นขึ้นมาก็จะพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอายุน้อยลง ซึ่งก็ทำให้เห็นหลักฐานการอยู่อาศัย และประเพณีการฝังศพของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

เสมาหินทรายแกะสลักที่วัดโพธิ์ชัยเสมาราม
       การขุดค้นนี้พบโครงกระดูกจำนวน 60 โครง มีทั้งเพศชาย เพศหญิง เด็กและทารก ทั้งยังพบโบราณวัตถุอย่างเครื่องประดับ กำไลเปลือกหอย ลูกปัด แหวนสำริด กำไลสำริด ภาชนะดินเผา รูปปั้นดินเผา เป็นต้น สำหรับใครที่สนใจอยากจะใช้เวลาเรียนรู้ประวัติศาสตร์อยู่ในบ้านปราสาทนานๆ ที่นี่เขาก็มีโฮมสเตย์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยละ
       
       จากโคราช เดินทางกันต่อมาถึงเมืองน้ำดำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอกมลาไสยนั้นก็มีเมืองโบราณที่มีร่องรอยของการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 นั่นก็คือ "เมืองฟ้าแดดสงยาง"
       

       โบราณวัตถุที่พบมากที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยางก็คือใบเสมาหินทราย ซึ่งพบกระจัดกระจายอยู่รอบๆพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณศาสนสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น เจดีย์ อุโบสถ หรือเนินดินที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเข้าใจว่าเป็นสถานที่ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยใบเสมาเหล่านี้แบ่งได้หลายประเภทด้วยกัน ทั้งแบบแผ่นเรียบไม่มีการแกะสลัก แบบแผ่นหินอกเลาสลักรูปกลีบบัวที่ฐาน แบบแท่งหินรูปสี่เหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม รวมไปถึงแบบแผ่นหินที่สลักเรื่องราวทางศาสนาไว้

พระธาตุยาคู พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง
       แผ่นหินเหล่านี้ส่วนหนึ่งเก็บรักษาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยเสมาราม โดยเสมาสลักภาพที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งนั้นเป็นใบเสมาสลักภาพเล่า เรื่องพิมพาพิลาป หรือเรื่องราวเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดนางพิมพา พระชายาของพระองค์เมื่อครั้งที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ใบเสมาชิ้นนี้ถูกก่อปูนยึดไว้กับพื้นอย่างดี เพราะหาไม่คงจะถูกยกไปขายเสียนานแล้ว
       
       โบราณสถานในเมืองฟ้าแดดสงยางที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่จะพลาดชมไม่ได้ก็คือ "พระธาตุยาคู" พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในสมัยทวารวดีที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในเมืองฟ้า แดดสงยาง เนื่องจากได้รับการบูรณะในหลายยุค จึงทำให้พระธาตุยาคูมีฐานแบบทวารวดี ตอนกลางพระธาตุเป็นแบบอยุธยา ส่วนตอนปลายเป็นแบบรัตนโกสินทร์ และยังพบใบเสมารอบๆ องค์เจดีย์อีกหลายชิ้นด้วยกัน พระธาตุองค์นี้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในแถบนี้เป็นอย่างมาก มีเรื่องเล่าปาฏิหาริย์มากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับองค์พระธาตุ หากอยากรู้คงต้องหาโอกาสมาฟังด้วยตนเอง

ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
       มาที่จังหวัดอุดรธานีกันบ้าง ที่นี่ไม่ต้องกล่าวอะไรมาก เพราะชื่อของ "แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง" อัน ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม คงจะเป็นที่การันตีได้ถึงความเก่าแก่ และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงนี้เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย อายุราว 5,600 ปี มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานและวัฒนธรรมของชุมชนสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีการพัฒนาในทุกด้าน โดยโบราณวัตถุที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเชียงนั้นก็คือเครื่องปั้น ดินเผาลายเขียนสีนั่นเอง
       
       หากอยากทราบเรื่องราวเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงอย่างละเอียดก็ต้องมาเริ่มต้นที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง" พิพิธภัณฑ์ทันสมัยที่รวบรวมเอาโบราณวัตถุหลายหมื่นชิ้นที่ขุดค้นพบมาจัดแสดง ไว้ให้ชม พร้อมทั้งมีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับบ้านเชียงอย่างครบถ้วน แต่หากอยากเห็นสภาพพื้นที่จริงซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดหรือหลุมขุดค้น ก็ต้องมาที่ “วัดโพธิ์ศรีใน” ที่ยังคงรักษาสภาพการขุดค้น มีโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผาที่แสดงให้เห็นถึงประเพณีการฝังศพของคนในสมัยนั้น

หลุมขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงที่วัดโพธิ์ศรีใน
       ที่ "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" ในอำเภอบ้านผือ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีซึ่งมีร่องรอยของอารยธรรมโบราณแฝงอยู่ ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศในเวลาเดียวกัน
       
       ที่ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศนั้นก็เพราะในอุทยานฯนี้ มีโขดหินทรายน้อยใหญ่ที่ถูกขัดเกลาจากกระบวนการกัดกร่อนของธรรมชาติทั้งลม และฝน จนทำให้โขดหินเหล่านั้นมีรูปร่างต่างๆกัน และก่อเกิดเป็นตำนานพื้นบ้านอย่างเรื่อง "นางอุสา-ท้าวบารส"
       
       และโขดหินเหล่านี้นั้นก็มีร่องรอยของมนุษย์ในยุคโบราณก่อนประวัติ ศาสตร์ ราว 2,000-3,000 ปี ซึ่งมาพักอาศัยอยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติ มีหลายจุดในภูพระบาทที่พบสถานที่ซึ่งสันนิษฐานว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยใช้ เป็นห้องนอนและสถานที่ประกอบอาหาร อีกทั้งยังพบภาพเขียนสีธรรมชาติเป็นรูปคน และสัตว์ตามเพิงหินอีกด้วย

หอนางอุสา แหล่งอารยธรรมที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
       และยังพบว่าบริเวณนี้ยังได้รับอิทธิพลในสมัยทวารวดีอีกด้วย เพราะโขดหินหลายๆ แห่งได้ใช้เป็นศาสนสถาน ทั้งหอนางอุสา เพิงหินคอกม้าน้อย ถ้ำฤาษี เป็นต้น เพราะพบหลักฐานจากการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ ไม่เพียงแต่ในยุคทวารวดีเท่านั้น แต่ยังพบอิทธิพลจากเขมร และวัฒนธรรมล้านช้างบนภูพระบาทอีกด้วย
       
       ปิดท้ายเส้นทางอารยธรรมโบราณแห่งสุดท้ายในเส้นทางกลับที่ "เมืองโบราณโนนเมือง" ที่อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ชุมชนเก่าแก่ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจน ถึงสมัยทวารวดี การขุดค้นพบว่ามีการสร้างเมืองขนาดใหญ่โดยขุดคูเมืองและก่อคันดินเป็นกำแพง เมือง อีกทั้งยังพบกลุ่มใบเสมาในตัวเมืองโนนเมือง จึงเชื่อว่าเมืองแห่งนี้อาจเป็นศูนย์กลางทางศาสนาหรือเป็นที่ประกอบพิธีทาง ศาสนาอีกด้วย

หลุมขุดค้นที่เมืองโบราณโนนเมือง
       ในหลุมขุดค้นที่มีการขุดขึ้นที่โนนเมืองนั้น พบโครงกระดูกทั้งหมด 34 โครง พบว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั้งสิ้น คือมีอายุประมาณ 2,500-2,000 ปีมาแล้ว อีกทั้งยังพบเครื่องมือเหล็กประเภทจอบ ใบมีด เคียว และกระดูกสัตว์อย่างวัว ควาย เก้ง กวาง และปลาหลายชนิด ทำให้ทราบว่าผู้คนในเมืองนี้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์เช่น เดียวกับชุมชนโบราณอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน
       
       ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ใน "เส้นทางตามรอยอารยธรรมโบราณ" ซึ่งหากใครที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ อยากเห็นหรือสัมผัสกับมนุษย์โบราณอย่างใกล้ชิด "ตะลอนเที่ยว" แนะนำว่าไม่ควรพลาดเส้นทางนี้ด้วยประการทั้งปวง
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       การท่องเที่ยวในเส้นทาง "ตามรอยอารยธรรมโบราณ" หากอยากเที่ยวให้สนุกควรมีมัคคุเทศก์ที่สามารถบรรยายถึงความเป็นมาของสถาน ที่แต่ละแห่ง ผู้ที่สนใจท่องเที่ยวในเส้นทางนี้สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ททท. Call Center 1672 สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ โทร.0-2270-1505 ถึง 8 สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย โทร.0-2246-5659 สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย โทร.0-2887-8802 ถึง 3 สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย โทร.0-2998-0744
      

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062452

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com

รายการบล็อกของฉัน