รายงานโดย :วัชราวุธ ลีภาคภูมิพานิชย์: | วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552 |
ตัดสลับกับเขาที่วางตัวเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ภาพของความประทับใจตลอดเส้นทางการล่องเรือชมเขื่อนสิริกิติ์ยังคงดังเป็นระยะจากผู้ร่วมเดินทางกว่า 100 ชีวิต ที่มาร่วมงานเปิดฟ้าการท่องเที่ยว จ.อุตรดิตถ์ ในครั้งนี้
เขื่อนสิริกิติ์ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ทางจังหวัดจัดโปรแกรมไว้ต้อนรับในวันแรกของการเดินมาเยี่ยมเยือน ซึ่งก็เรียกความสนใจจากพวกเราไปเต็มๆ เพราะด้วยทิวทัศน์ของทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ขวางกั้นลำน้ำน่าน ทำให้ภายในอ่างเก็บน้ำเกิดเป็นเกาะแก่งอยู่มากมาย บางเกาะที่ถูกน้ำกัดเซาะจะปรากฏเป็นขั้นบันได ทำให้เกิดเป็นผลงานทางธรรมชาติที่ดูแปลกตา นอกจากนั้นระหว่างสองข้างทางจะพบเห็นอุปกรณ์ดักปลาของชาวบ้านในละแวกนั้นวางตัวอยู่อย่างกระจัดกระจายตลอดสายน้ำ วิถีชีวิตของคนริมน้ำแสดงให้เห็นว่าสายน้ำแห่งนี้ยังมีชีวิต และยังคงดำรงต่อไปตราบที่ยังมีแหล่งหากิน
คืนนี้คณะเราแยกพักผ่อนกันตามบ้านบนเขื่อนสิริกิติ์ที่เขาตั้งชื่อไว้อย่างน่ารัก ทั้งรังนกกระเต็น รังนกกระจอก รังนกนางนวล ส่วนผมอยู่ในรังนกกระจิบ ซึ่งเป็นบ้านพักหลังเดี่ยวตั้งรวมกันอยู่บนเนินเขา หน้าบ้านจัดสวนไว้อย่างสวยงาม รถยนต์สามารถขึ้นมาจอดได้ ส่วนในรังนอนแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องโถง พร้อมด้วยเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น และโทรทัศน์ แต่ต้องขอแอบกระซิบนิดหนึ่งว่า สภาพรังของผมร้อนเอาเรื่องเลย เพราะเครื่องปรับอากาศมันไม่ค่อยเต็มใจทำงานสักเท่าไหร่ งานนี้กว่าจะทำให้ใจเย็นและตัวเย็นก็เกือบเที่ยงคืน
อรุณสวัสดิ์รับเช้าวันใหม่ ก่อนออกเดินทางเราเติมพลังกันที่ร้านอาหารระเบียงน่าน ซึ่งเป็นร้านอาหารของทางเขื่อนที่จัดไว้บริการให้กับนักท่องเที่ยวท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติริมแม่น้ำน่าน พออิ่มท้องกันแล้ว เรามุ่งหน้าสู่แอร์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามหมายที่ได้รับ งงใช่มั้ยครับ ผมก็งงเหมือนกันว่าอะไรคือแอร์ธรรมชาติ
ก่อนที่รถจะมาจอดที่วนอุทยานต้นสักใหญ่ ถึงได้รู้ถึงคำตอบว่าที่แท้แอร์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือต้นสักใหญ่ ตั้งอยู่ในบ้านปาง นาเกลือ ต.น้ำใคร้ อ.น้ำปาด ซึ่งก็ได้รับความกระจ่างจากพี่เจ้าหน้าที่ว่า ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ถูกค้นพบเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2470 ซึ่งแต่เดิมป่าบริเวณนี้ถูกสัมปทาน ทำให้มีต้นสักถูกตัดไป ซึ่งต้นที่เหลืออยู่นั้นเป็นโพรง ทำให้ไม่สามารถทำเป็นสินค้าได้ จึงรอดพ้นจากการทำไม้
อายุต้นสักใหญ่วัดได้โดยอาศัยเทียบเคียงขนาดและจำนวนวงปี ซึ่งต้นที่เหลืออยู่ประมาณอายุได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ปี ส่วนความสูงวัดโดยการทิ้งดิ่งตลับเมตรสูงประมาณ 38.5 เมตร ความโต 1,015 เซนติเมตร (18 มิ.ย. 2551)
จากนั้นเราเดินทางไปยังบ่อเหล็กน้ำพี้ ที่ อ.ทองแสนขัน บ่อเหล็กน้ำพี้เป็นโบราณสถานซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นแหล่งเหล็กกล้าที่นำมาทำพระแสงดาบตั้งแต่สมัยโบราณ โดยบ่อขุดสินแร่เหล็กที่เรียกว่าบ่อพระแสงและบ่อพระขรรค์ เป็นบ่อเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณแหล่งแร่เหล็กน้ำพี้ และเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งสงวนไว้ใช้ทำพระแสงดาบและพระขรรค์ถวายพระมหากษัตริย์
เหล็กน้ำพี้ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นโลหะมหัศจรรย์ มีพลังในตัวสามารถป้องกันคุณไสยและสิ่งเลวร้ายได้ ปัจจุบันแร่เหล็กน้ำพี้ถือว่าเป็นวัตถุมงคลอันเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีไว้ครอบครอง นอกจากนี้ภายในบริเวณมีพิพิธภัณฑ์ บ่อเหล็กน้ำพี้นมีการจัดแสดงและจำลองให้เห็นถึงขบวนการการตีเหล็กน้ำพี้ ตั้งแต่การขุดแร่เหล็กจนตีเป็นดาบที่มีความแข็งแกร่งและความคมเป็นเลิศ ดาบน้ำพี้จึงเป็นอาวุธคู่กายของขุนศึกและนักรบไทยในสมัยโบราณ ตลอดมา
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทางจังหวัดนำเสนอคือ เส้นทางแอดเวนเจอร์ ชมเส้นทางคาราวานขนทุเรียน ที่ชาวบ้านใช้ขนทุเรียนลงเขา ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเปิดใหม่ให้ขาลุยได้ท้าพิสูจน์กัน ระหว่างเส้นทางขึ้นเขาจะเห็นต้นทุเรียนทั้งพันธุ์หมอนทอง หลงลับแล และหลินลับแล (เขาบอกว่าสองพันธุ์หลังนี้ราคาสูงมาก และหาทานไม่ได้ง่ายๆ) สลับกับต้นมะไฟที่ออกลูกเต็มต้น เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาบริเวณจุดชมวิวสวนป้าสมเด็จ จะมองเห็นเมืองอุตรดิตถ์และจังหวัดใกล้เคียง โดยทางอบต.บอกว่าสามารถมองเห็นได้ถึงห้าเมือง แต่เท่าที่ผมขึ้นไปก็ไม่รู้ว่ามีเมืองไหนอยู่ตรงไหน เขาชี้ให้ผมดูก็ไม่เห็นจะแตกต่างกัน เพราะมีแต่ต้นไม้กับท้องฟ้า แถมหน้าตาก็คล้ายๆ กันอีก แต่รับรองว่าต้องประทับใจในความสวยงามของทัศนียภาพแน่นอน
เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเมืองอุตรดิตถ์ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะด้วยจังหวัดนี้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จากหลักฐานการค้นพบโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยอยุธยา และสมัยธนบุรี วัดวาอารามในเมืองนี้จึงมีอายุกว่าร้อยปีอยู่หลายวัด เช่น วัดดงสระแก้ว ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับการรอดโบสถ์ไม้สักทองว่าจะเป็นมงคลต่อชีวิต
วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ลักษณะเด่นมีพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ซึ่งมีความเก่าแก่ เป็นที่เคารพสักการะนับถือชาวเมือง เพราะเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ภายในวิหารของวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวพุทธประวัติตอนมารผจญ อยู่ที่ผนังด้านบนตอนล่างเป็นภาพเรื่องสังข์ทองซึ่งมีการลบเลือนไปมากแล้ว
นอกจากนี้ยังมีวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด แต่ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ พระองค์ได้เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์เมื่อปี พ.ศ. 2283 ได้แสดงว่า พระแท่นศิลาอาสน์ได้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว จนเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง จนพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จไปนมัสการ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าอุตรดิตถ์เป็นเมืองที่มีทั้งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงาม และมีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ แต่หลายคนกลับใช้เมืองนี้เป็นเพียงทางผ่านเพื่อมุ่งสู่ภาคเหนือ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และไม่เหมือนที่ใด ลองแวะมาอุตรดิตถ์ เมืองน่ารักๆ แห่งนี้รอต้อนรับคุณอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น