นับแกะ...ชิมกีวี ที่...เบย์ ออฟ เพลนตี้...นิวซีแลนด์
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง
โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย
![]() อรุณรุ่งที่เชิงเขาเมาท์.เมาน์กานุย ฝูงแกะแห่งเมาท์.เมาน์กานุย |
ถ้าไม่ใช่ภาพยนตร์ไตรภาคสุดฮิต "เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์" ซึ่งใช้ความงามที่ธรรมชาติให้นิวซีแลนด์มาแบบเนื้อๆ เน้นๆ เป็นฉากถ่ายทำ ก็เป็นสารคดีที่ "เฮเลน คลาร์ค" ทุ่มสุดตัวเป็นไก๊ด์พาทัวร์ทั่วประเทศด้วยตนเองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ยังมีประชากร "แกะ" ที่ว่ากันว่ามีถึง 45 ล้านตัว ส่วนวัวมีราว 9 ล้านตัว ขณะที่ประชากรมนุษย์มีเพียง 4 ล้านกว่าคน เท่านั้น จนชาวนิวซีแลนด์บอกกันขำๆ ว่า ปัญหามลพิษในนิวซีแลนด์เกิดจากก๊าซที่มาจากสัตว์มากกว่าก๊าซที่มาจากรถยนต์เสียอีก
"นิวซีแลนด์ยังมี "กีวี" เป็นเหมือนผลไม้ประจำชาติ"
มุ่งสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอ๊อคแลนด์ ราว 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึง "เบย์ ออฟ เพลนตี้" หนึ่งในภูมิภาคของแดนกีวี
"ที่นี่สภาพภูมิอากาศดี ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ดินก็เป็นดินภูเขาไฟ น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ จึงไม่แปลกที่ในจำนวนกีวีที่นิวซีแลนด์ปลูกได้และส่งออกจำหน่ายทั่วโลก...80 เปอร์เซ็นต์ มาจากเบย์ ออฟ เพลนตี้"
"เมื่อก่อนผู้ปลูกกีวีเจอปัญหากีวีไม่ได้คุณภาพ ราคาก็ตกต่ำ แข่งกันเองไม่พอยังต้องแข่งกับกีวีประเทศอื่น เรียกว่าตกระกำลำบากมาก เจ้าของไร่กีวีทนไม่ไหวจึงรวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ รัฐบาลจึงตั้งบริษัทขึ้นในปี 1997 ให้ความรู้กับเกษตรกรเรื่องการปลูก ดูแลผลผลิตและหาตลาดให้ ตอนนี้กีวีนิวซีแลนด์ส่งออกไปมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกแล้ว" "แดเนียล แมธีสัน" ชายหนุ่มสายเลือดนิวซีแลนด์ เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ ระหว่างเดินเที่ยวเล่นในไร่กีวี
![]() ไร่กีวีที่มีอยู่มากมายในพื้นที่เบย์ ออฟ เพลนตี้ |
บริษัทที่รัฐบาลตั้งขึ้นก็คือ "เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล" ที่แดเนียลทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่นั่นเอง
กีวีที่ปลูกในพื้นที่เบย์ ออฟ เพลนตี้ มีทั้งกีวีเขียวและกีวีทอง
เปลือกของกีวี 2 สีเหมือนๆ กันคือเป็นสีน้ำตาล แต่ถ้าสังเกตดีๆ กีวีเขียวจะมีขนที่ผลเยอะและมีเปลือกหนากว่ากีวีทอง
ใครที่ชอบรสเปรี้ยวนิดๆ อาจติดใจกีวีเขียว ส่วนใครที่ติดหวานหน่อยๆ ต้องกีวีทอง
ฤดูกาลเก็บกีวีอยู่ระหว่างเดือนเมษายน-สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน ซึ่งค่าจ้างในการเก็บจะขึ้นกับความ "มือเบา" ในการเด็ดกีวีจากขั้วแบบไม่ให้ผลช้ำ
เพลินกับการเด็ดกีวี-ชิมกีวีจนหนำใจ ตกเย็นก็เข้าที่พักในเมือง "เมาท์.เมาน์กานุย" เป็น "เซิร์ฟ ซิตี้" เมืองสวรรค์ของนักโต้คลื่น
ถึงนักท่องเที่ยวจะเยอะ แต่ดูเหมือนว่าเมืองเมาท์.เมาน์กานุยจะเข้านอนเร็วผิดคาด เพราะเพียงแค่ความมืดโรยตัวเข้าห่มคลุม ร้านรวงส่วนใหญ่ในเมืองก็ปิดเสียแล้ว
เมาท์.เมาน์กานุยสูงเพียง 230 เมตรเท่านั้น ชาวเมืองจึงนิยมวิ่งออกกำลังกายขึ้น-ลง หรือไม่ก็เดินเล่นขึ้นไปถึงยอดเขาที่มองเห็นวิวได้เกือบทั้งเมือง
![]() เมาท์.เมาน์กานุย วัวที่เห็นได้ทั่วไปในนิวซีแลนด์ |
ตื่นแต่เช้าตรู่ ขยับเสื้อกันหนาวให้กระชับตัวพร้อมรับอุณหภูมิ 13 องศา สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นเมาท์.เมาน์กานุย
ถึงจะไปไม่ถึงยอดเขาด้วยเงื่อนไขทางเวลา แต่ก็คุ้มที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าแตะต้องผืนทะเลสีฟ้าครามเป็นประกายวิบวับจากระหว่างทางขึ้นเมาท์.เมาน์กานุย
สายๆ เดินทางไป ""สปริง โลดเด็ด ฟัน พาร์ค"" เมือง "เท ปูกี้" ขึ้นเฮลิคอปเตอร์-ลงเรือด่วน ชมธรรมชาติสวยๆ ของเบย์ ออฟ เพลนตี้
คิดค่านั่งเฮลิคอปเตอร์ 105 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (2,300 กว่าบาท) ต่อคน ส่วนค่าลงเรือด่วน หากเป็นผู้ใหญ่ตกคนละ 95 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ราว 2,100 บาท) เด็กอยู่ที่ 45 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 1,000 บาท)
รัดเข็มขัดนิรภัย ใส่ที่ครอบหูเรียบร้อย เฮลิคอปเตอร์ก็พาห่างจากพื้นดินไปเรื่อยๆ มองลงมาเห็นวัวเป็นแค่จุดขาวดำเล็กๆ เท่านั้น
พื้นที่สีเขียวที่เห็นสุดลูกหูลูกตาคือไร่กีวีเป็นแปลงๆ มีต้นไม้สูงปลูกเป็นแนวรั้วกั้นระหว่างไร่ ตอกย้ำความเป็นพื้นที่ปลูกกีวีใหญ่สุดของนิวซีแลนด์ให้น่าเชื่อถือเข้าไปอีก
ตื่นตาตื่นใจอยู่บนฟ้าเกือบ 10 นาที แล้วก็เปลี่ยนเป็นลงเรือยนต์ลำเล็กสีแดงสด เตรียมล่องแม่น้ำ "ไคทูน่า" ความยาวของแม่น้ำคือ 65 กิโลเมตร แต่เปิดให้ล่องไป-กลับ รวม 25 กิโลเมตร
ก่อนออกเรือ แดเนียล-พนักงานขับเรือบอกว่าจะทำ "สปิน" เล่นเอาใจเต้นตึกตัก เพราะไม่รู้ว่าจะเทใครลงแม่น้ำหรือเปล่า..ยิ่งหนาวๆ อยู่ด้วยสิ!!
แล้วเรือก็ทะยานออกจากท่าอย่างรวดเร็ว บางช่วงบางตอนแดเนียลก็หมุนพวงมาลัยให้เรือเลี้ยวเกือบ 360 องศา เพื่อทำสปิน แต่ละคนเลยจับราวไว้แน่น พร้อมปล่อยเสียงกรี๊ดแบบไม่เกรงใจใคร
2 ข้างทางของแม่น้ำไคทูน่าเป็นป่าทึบ มีต้นไม้เล็ก-ใหญ่ขึ้นหนาแน่นเบียดเสียด แต่ไม่วังเวงเพราะมีเสียงนกร้องประสานกันดังขึ้นเป็นพักๆ
"เชื่อมั้ยครับว่าป่าอยู่ในสภาพนี้มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว คนนิวซีแลนด์ไม่เข้าไปยุ่มย่าม เพราะป่าเป็นต้นกำเนิดชีวิต" แดเนียลบอกระหว่างขับเรือ ก่อนชะลอความเร็วเรือลง ปล่อยเรือให้จอดนิ่งอยู่หน้าน้ำตกใหญ่สักพัก..
"แวบหนึ่งเผลอคิดไปว่าตัวเองเป็น "ฮอบบิท" ในเรื่อง "เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์" กำลังท่องป่าในดินแดน "มิดเดิล เอิร์ธ""
เสียดายที่ไม่มีใครพกกล้องติดตัวไปด้วย เพราะแดเนียลเตือนไว้ตั้งแต่แรกว่าเวลาสปินน้ำอาจซัดขึ้นมาบนเรือได้ เลยไม่มีภาพเป็นหลักฐานว่าธรรมชาติที่เห็นสวยงามสมบูรณ์แค่ไหน
"เก็บเกี่ยวความประทับใจมาเพียบ!..กับทริปนิวซีแลนด์ครั้งแรกในชีวิต"
หน้า 23
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น