"มาร์ค"ไม่พอใจส่งออกติดลบ15-20%ลั่นทำทุกวิถีทางช่วย กรมศุลฯคาดเดือนพ.ค.-30%
"นายกฯ" ไม่พอใจหากส่งออกปี 52 ติดลบ 15-20 % ประกาศรัฐบาลจะหามาตรการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สศค.เผยสัญญาณศก.กิจ เม.ย.ดีขึ้น กรมศุลกากรคาดส่งออกพ.ค. -30 %
"มาร์ค"ไม่พอใจส่งออกหด15-20%
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมของปัญหาเศรษฐกิจ ว่า ยังเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 น่าจะดีขึ้น แต่ต้องดูตัวเลขเดือนพฤษภาคมอีกที มาตรการหลายอย่างที่เร่งทำ เริ่มมีผลช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขการผลิต เรื่องคนออกจากงาน ก็ดูดีขึ้น แต่ต้องทำงานกันหนักต่อ
"ค่อนข้างเห็นใจการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับได้ที่การส่งออกในปีนี้จะติดลบ เพราะทุกประเทศเจอเหมือนกันหมด แต่ไม่พอใจนักหากการส่งออกติดลบสูงถึง 15-20% รัฐบาลจะหามาตรการช่วยเหลือเต็มที่"นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากวันที่ 3 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะกู้เงินมาลงทุนในโครงการที่กำหนดไว้ทันที เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่น ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในรูปแบบอี-ออคชั่นภายใน 60 วัน จะพยายามให้มีการลงนามในสัญญาภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที
สศค.ชี้ศก.สัญญาณดีขึ้น
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนเมษายนว่า มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมชะลอการหดตัว เป็นผลจากอุตสาหกรรมอาหารที่ขยายตัว 2.4% เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.7% และเคมีภัณฑ์ที่ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนลดลง 1.7% สามารถส่งออกไปยังตลาดจีนและอินเดียเพิ่ม แต่การผลิตภาคการเกษตร เริ่มหดตัวเป็นครั้งแรก ขณะที่ภาคบริการยังคงหดตัวมาก มีนักท่องเที่ยว 1.1 ล้านคน ลดลง 11.9% จากผลกระทบปัญหาการเมืองช่วงสงกรานต์และเศรษฐกิจโลก
นายสมชัยกล่าวว่า สัญญาณที่ดีขึ้น อาจเป็นการปรับตัวดีขึ้นชั่วคราว จึงต้องรอดูตัวเลขเดือนพฤษภาคมอีกเดือน เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 2 อีกครั้ง แต่มองว่าจีดีพีไตรมาส 2 ยังคงหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก แต่น่าจะติดลบน้อยกว่า 7.1% ดังนั้น ภาครัฐจะต้องเร่งใช้จ่ายและลงทุนในประเทศ
ย้ำพ.ร.ก.กู้มีปัญหาศก.แย่หนัก
"จีดีพีไตรมาสแรกที่ติดลบ 7.1% ถือว่าต่ำสุดและใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ที่ลบ 6.8% ในไตรมาสต่อๆ ไปจะติดลบน้อยลงและเริ่มเป็นบวกในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ขึ้นกับการเบิกจ่ายงบประมาณจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ หาก พ.ร.ก.กู้เงินมีปัญหา เศรษฐกิจจะมีปัญหา เพราะทุก 1 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1% จากนี้ปัญหาการเมืองจะต้องนิ่งเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า" นายสมชัยกล่าว
นายสมชัยกล่าวว่า การส่งออกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในหลายหมวดสินค้า และมูลค่าการนำเข้าก็ขยายตัวดีขึ้น จากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบมากขึ้น เพราะใช้สินค้าคงคลังเกือบหมดแล้ว แต่การบริโภคภาคเอกชนยังหดตัวระดับสูง สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แว็ต) ลดลง 17.7% ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ลดลง 17.7% เนื่องจากรายได้เกษตรกรหดตัวตามราคา แต่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวเป็นครั้งแรกรอบ 3 เดือนที่ 4.2% เนื่องจากฐานช่วงเดียวกันปีก่อนต่ำมากและประชาชนหันมาซื้อรถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น
กรมศุลฯคาดส่งออกพ.ค.-30%
ด้านนายอุทิศ ธรรมวาทิน อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกเดือนพฤษภาคมยังติดลบต่อเนื่องจากเดือนเมษายน โดยอาจติดลบประมาณ 30% จากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ 26.1% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ขณะที่การนำเข้าอยู่ในภาวะติดลบเช่นเดียวกัน ทำให้ 7 เดือนที่ผ่านมารายได้ของกรมศุลกากรต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลใช้นโยบายการเงินและการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มที่แล้ว จากนี้อาจต้องพิจารณานโยบายสินเชื่อและอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ยืนยันว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยแข็งแกร่งมาก สามารถใช้สินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก ขณะที่ค่าเงินจะเข้ามาช่วยในแง่การส่งออกมากได้มากขึ้น
คลังลุ้นกม.ใช้บำนาญค้ำกู้
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางรายงานว่า มีกฎหมายที่อยู่ระหว่างดำเนินการที่น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ ร่าง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยให้นำวงเงินบำเหน็จตกทอดไปค้ำประกันการกู้กับสถาบันการเงินที่กำหนด ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่วงเงินดังกล่าวจะต้องหักจากจำนวนเงินบำเหน็จดำรงชีพ ที่ได้รับไปแล้วตามกฎกระทรวง คือ 15 เท่าของบำนาญรายเดือน ไม่เกิน 400,000 บาท
นพ.พฤฒิชัยกล่าวว่า ร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ครม.อนุมัติหลักการไว้แล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 และสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการวาระที่ 1 แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้ผู้รับบำนาญมีช่องทางการนำเงินไปใช้เป็นทุนประกอบอาชีพ หรือนำไปบำรุงซ่อมแซมที่พักอาศัย
"การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้ผู้รับบำนาญสามารถมีเงินก้อนไว้ใช้จ่ายหรือลงทุนประกอบอาชีพหลังออกจากงาน เมื่อคืนเงินกู้ครบก็สามารถกู้ใหม่ได้อีก ที่สำคัญผู้รับบำนาญยังมีเงินบำเหน็จตกทอดคงเหลือให้กับทายาทต่อไปด้วย ดีกว่าการจ่ายให้ทั้งหมดในครั้งเดียว" นพ.พฤฒิชัยกล่าว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1243521006&grpid=01&catid=05
Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น