การสูญเสียพื้นดินถิ่นเกิดของคนไทยทั้งชาติ!
โดย ระพี สาคริก
![]() |
เรื่องนี้เป็นสัจธรรมซึ่งคนแต่ก่อนเคยนำมาปฏิบัติในการคุ้มครองปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดกันมาช้านาน จนกระทั่งถือเป็นจารีตประเพณีของไทยในการที่องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษผู้นำของเราในอดีต ตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์เริ่มแรกได้นำเอาชีวิตและเลือดเนื้อไปแลกเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้จนกระทั่งถึงเราซึ่งเป็นชนรุ่นลูกหลาน เพื่อไม่ให้สูญเสียไปกับอริราชศัตรู ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งถือว่าในหลักสูตรการจัดการศึกษาของชนรุ่นหลังมีความจำเป็นที่จะต้องนำเอาประเด็นนี้มาศึกษาหาความรู้และทบทวนเพื่อความมั่นคงของชาติและแผ่นดินไทยในอนาคต
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปัญหาพื้นฐานของคนในสังคมไทยยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงมาถึงขั้นที่ถือว่าเกษตรกรคือยามเฝ้าแผ่นดิน แต่การสูญเสียที่ดินทำกินของเกษตรกรไทยให้กับคนต่างชาติที่แทรกซึมเข้ามาสู่สังคมในยุคนี้ด้วยวิธีการที่มีรูปแบบต่างๆ จนกระทั่งทำให้ชีวิตเกษตรกรไทยต้องเปลี่ยนสภาพจากความเป็นเจ้าของที่ดินมาเป็นลูกจ้างแรงงาน ซึ่งผู้ที่ลงไปสัมผัสกับปัญหาในระดับล่างด้วยจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะรู้ถึงความจริงเรื่องนี้ได้
สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาดังกล่าวได้ขยายขอบเขตออกไปสู่มุมกว้างเพิ่มมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งแทบไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
อนึ่ง เมื่อพูดถึงเรื่องของการสูญเสียที่ดินทำกินสำหรับเกษตรกรท้องถิ่น ทำให้ฉันหวนกลับไปนึกถึงอดีตเมื่อประมาณกว่า 5 ปีมาแล้ว ที่มีนักการเมืองระดับสูงคนหนึ่งได้นำเอาคนไต้หวันเข้ามาตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับกล้วยไม้ ซึ่งแท้จริงแล้วประเด็นนี้มีผลทำให้คนต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดินของประเทศไทยด้วย โดยที่ตัวเองคิดแต่จะขายที่ดินเพื่อเอาเงินใส่กระเป๋า แต่เราต้องสูญเสียที่ดินของชาติให้กับคนต่างชาตินับเป็นพันล้านไร่ ทำให้ฉันเองร่วมกับเพื่อนๆ ชาวกล้วยไม้ไทยและอีกหลายคนรวมทั้งสื่อมวลชน ซึ่งคนเหล่านี้แม้ไม่ได้ปลูกกล้วยไม้ แต่ตระหนักถึงความสำคัญของแผ่นดินดังกล่าว ได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้จนกระทั่งมีผลกระตุ้นให้คนทั้งชาติตื่นตัว
แต่เรื่องราวครั้งนั้นเราก็ตื่นตัวกันเฉพาะเรื่องเดียว หลังจากนั้นมาแล้วก็คงนอนหลับทับสิทธิ์ในการปกป้องแผ่นดินไทยต่อมา จนกระทั่งบานปลายมาถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้มันยิ่งกว่ามะเร็งโรคร้ายที่กำลังเกาะกินชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทยในปัจจุบันไปจนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย เราจึงเริ่มตื่นตัวกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะสิ่งที่ฉันได้เขียนเอาไว้ว่า "เกษตรกรคือยามเฝ้าแผ่นดิน" แต่ขณะนี้ทหารยามของเรากำลังหมดแรง รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ควรจะมีอยู่ในมือก็ชำรุดทรุดโทรม สำหรับอาวุธดังกล่าวถ้าจะถามฉันว่ามันคืออะไรก็คงตอบได้ว่า "รากฐานจิตใจที่ควรจะเข้มแข็งและมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองนี่แหละ" ซึ่งเรื่องนี้เราจำเป็นจะต้องแก้ไขด้วยการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพซึ่งสามารถนำไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง ซึ่งเรื่องนี้ผลที่ปรากฏก็คือความมั่นคงของชาติ
สิ่งหนึ่งซึ่งฉันจะขอชี้ไว้ให้เห็นในโอกาสนี้ก็คือ "เมื่อพูดถึงปัญหาการสูญเสียที่ดินของชาติแล้ว เราก็ยังนิยมแก้ไขกันด้วยการออกกฎหมายเพื่อใช้บังคับ" สิ่งนี้แหละเธอที่มันสะท้อนให้รู้ได้ว่า เราไม่ใช่ประชาธิปไตยเสียแล้ว แต่เรากำลังเดินสวนทางกับความเป็นประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหานั้นมันเท่ากับการนำอาวุธมากดหัวประชาชน แทนที่จะใช้คุณธรรมและจริยธรรมรวมทั้งการให้อภัยและการปฏิบัติที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้โอกาส สิ่งนี้ใช่หรือเปล่าที่มันเป็นพื้นฐานธรรมะ เพราะประชาธิปไตยไม่ใช่มองเห็นแค่รัฐสภาและไม่ใช่มองเห็นแค่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเพียงกระพี้ของเครื่องมือ มันก็เป็นการสร้างปัญหาที่แฝงอยู่ในส่วนลึกเหนือการแก้ปัญหาอีกระดับหนึ่งด้วย
สิ่งที่เห็นได้ชัดสำหรับคนที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นก็คือ "ในสภาพที่ผ่านมานั้น ลูกหลานไทยไม่สามารถรักษามรดกเหล่านั้นเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้" ส่วนใหญ่แล้วมักมีนิสัยเห็นเงินตาโต รวมทั้งนิยมชมชื่นกับชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายในเมืองกรุง ดังเช่นการมีบ้านหรูๆ มีรถยนต์ราคาแพงๆ และมีตำแหน่งในการทำงานสูงๆ
อีกด้านหนึ่งก็คือ จิตวิญญาณที่ขาดความอดทนในการต่อสู้กับอามิสทั้งหลาย แล้วเราจะไปโทษใคร ถ้าฉันจะถามว่าเราจะโทษคนต่างชาติด้านเดียวเท่านั้นละหรือ แต่ถ้าหวนกลับมาพิจารณาให้ถึงการพัฒนาจิตวิญญาณของคนท้องถิ่นก็ควรจะเห็นว่า "เรื่องนี้เราควรจะโทษคนของเราเอง ที่รักในการทอดทิ้งเรือกสวนไร่นาอันเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง นี่แหละ ที่ฉันมักพูดย้ำอยู่เสมอว่า การพัฒนาชนบทของเรามันประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงมาตลอด"
นี่แหละเธอที่รักที่การปฏิบัติของคนในสังคมทุกวันนี้ ถ้ามองในมุมกลับมันฟ้องอยู่ในตัวว่า เราผู้มีหน้าที่ร่วมมือกันแก้ปัญหาก็ยังไม่วายที่จะเน้นใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพราะทุกอย่างมันไปด้วยกัน เราจับปัญหานี้ได้มันก็สาวไปถึงอีกปัญหาหนึ่งได้ไม่ยาก "เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่นิยมอำนาจจึงมีการแย่งชิงกันขึ้นไปสู่ที่สูง ไม่ว่าในราชการหรือภาคเอกชน ถ้าเราคิดจะแก้ปัญหาโดยใช้การจัดการศึกษาเป็นเครื่องมือแล้ว สิ่งที่มันสะท้อนออกมามีผลหยั่งรู้ความจริงได้นั้น ก็คือ การใช้คุณธรรมเพื่อสร้างความเป็นคนให้แก่คนในชาติที่ควรจะมีเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน"
ขณะนี้ประเทศชาติกำลังเผชิญกับภัยอันตรายจนกระทั่งที่ดินอยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีวะของคนไทยมันเหลือเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนท้องถิ่นที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการถือครองแผ่นดินผืนนี้ จำต้องเปลี่ยนไปเป็นทาสรับใช้ของคนต่างชาติภายในเรือกสวนไร่นา
เรื่องนี้ถ้าฉันจะอธิบายว่าแม้แต่คนต่างชาติที่กฎหมายไทยไม่เปิดโอกาสให้เข้ามาเป็นเจ้าของที่ดิน นอกจากมาแต่งงานกับภรรยาที่เป็นคนไทย เธอมองให้ดีว่าภาพรวมของเรื่องนี้มีคนไทยเป็นทาสหรือเปล่า การยอมตัวเป็นภรรยาคนต่างชาติ จริงๆ แล้วส่วนใหญ่ก็เพราะได้เงินมากๆ ความจริงก็เท่ากับเป็นทาสรับใช้ในทางปฏิบัติ
ที่ฉันนำเรื่องนี้มากล่าวไม่ใช่เพราะดูถูกคนไทย คนไทยที่ดีมีรากฐานจิตใจเข้มแข็งก็ยังคงมีอยู่เพียงแต่จำนวนในวันนี้น่าจะลดลงไปในวันข้างหน้าจนกระทั่งถึงที่สุดจุดจบของชาติชนิดที่เรียกกันว่า "สายเกินแก้"
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้คือความจริงทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแทบทุกครั้งที่มีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการสูญเสียที่ดินทำกิน ถ้าเป็นการประชุมที่อยู่บนพื้นฐานราชการ แทบทั้งหมดจะพูดกันแต่เรื่องกฎหมาย ถ้าฉันชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคนให้มีรากฐานจิตใจเข้มแข็ง เรามักจะถูกคนในที่ประชุมท้วงติงว่า เป็นเรื่องยากบ้าง เป็นเรื่องยาวเกินไปบ้าง โดยเฉพาะมันสะท้อนให้เห็นว่าคนในระบบราชการส่วนใหญ่นิยมอำนาจและสนใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้ารวมทั้งขาดความอดทนด้วย มิน่าละ ถึงได้เข้าไปอยู่ในระบบนี้แล้วส่วนใหญ่มักเข้าไปแสวงหาอำนาจกันอย่างเห็นได้ชัด
มีเรื่องตลกเกิดขึ้นในแวดวงเกษตร ในช่วงที่ผ่านมา เรามีการส่งเสริมให้คนสนใจพืชสมุนไพรรวมทั้งพืชชนิดต่างๆ ที่คนไทยนิยมใช้ปรุงอาหารกันมาช้านานแล้ว อยู่ๆ ก็มีหน่วยงานระดับกรมแห่งหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านว่าพืชเหล่านี้มีพิษ จึงควรออกกฎระเบียบควบคุมไม่ให้ประชาชนนำมาใช้ได้ง่ายๆ
อนึ่ง ฉันมีประสบการณ์ในการบริหารและจัดการเรื่องคนและพืชผลต่างๆ มาเป็นเวลาช้านานจนกระทั่งถึงบัดนี้มีอายุร่วม 87 ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังสนใจเรียนรู้จากการทำงานมาตลอด ฉันฟังแล้วมองเห็นแนวโน้มที่น่าจะเชื่อถือได้ว่า ส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้คงจะคิดอยากได้อำนาจในการควบคุมก่อนที่จะนำมาใช้ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็เป็นคนเหมือนตน แต่เหตุไฉนจึงขาดความเมตตากรุณาจนกระทั่งเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาบ่อยๆ
คิดไป คิดไป ก็น่าสงสารประชาชนคนไทยซึ่งชีวิตตกอยู่ภายใต้อำนาจดังกล่าวที่มีการควบคุมบังคับเพิ่มมากยิ่งขึ้น แล้วเราก็มาบ่นกันว่าขาดความคล่องตัวภายในระบบการผลิตของชาติบ้านเมืองจนกระทั่งแทบจะไม่รู้ว่าแต่ละคนที่อยู่ภายใต้อำนาจควรจะกำหนดทิศทางเดินของตัวเองไปทางไหน
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่า ก็ยังเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง เพราะวิถีทางนี้คือการเรียนรู้ความจริงลึกซึ้งยิ่งขึ้นเป็นลำดับจนกว่าจะจบลงด้วยการมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นความจริงที่ถึงซึ่งกันและกันได้ทั้งหมด หรือไม่ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีตัวตนให้เรายึดติดอยู่กับอะไรต่อมิอะไร ในฐานะปุถุชนคนทั่วไป ซึ่งยังต้องมีการเคารพในสัจธรรมเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้
หน้า 9
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01way02170552§ionid=0137&day=2009-05-17
Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น