| วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6737 ข่าวสดรายวัน
ระพีเสวนา ภูมิปัญญาวิถีไทย
สุจิต เมืองสุข
เป็นครั้งที่ 2 แล้ว สำหรับเวทีเสวนา "ระพีเสวนา" เป็นโครงการอันเกิดจากการจุดประกายของ "ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก" นักวิชาการด้านการเกษตร และผู้เชี่ยวชาญ "กล้วย ไม้" ชื่อดัง
ครั้งนี้จัดภายใต้หัวข้อ "ภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทยไท"
โดยแบ่งเป็น 4 เวที เริ่มด้วย เวทีคนจุดประกาย ความคิดและประสบการณ์วิถีเกษตร กรรมพึ่งตนเอง, เสวนาคนนำทาง การถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้นำเกษตรกรรมพึ่งตนเอง, สืบสานภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทย จากปราชญ์ถึงเยาวชน, และ เวทีสะท้อนความคิดเห็น จากเจ้าของสวนผู้มากด้วยประสบการณ์
ทั้ง 4 เวทีเป็นการรวบรวมความหลากหลาย ในการถ่ายทอดประสบการณ์ ความคิดเห็น มุมมอง แนววิธีการปฏิบัติ หล่อหลอมรวมกันเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทย โดยมีเกษตรกรรมเป็นรากฐาน อันเป็นเป้าประสงค์ของ "โครงการระพีเสวนา" ที่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2551
ที่เวทีคนจุดประกาย ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ เจ้าของสวนธรรมเกษตร อดีตนักวิชาการป่าไม้ และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถ่ายทอดประสบการณ์วิถีเกษตรกรรมพึ่งตนเอง ว่า ชีวิตก่อนหน้าการทำเกษตรกรรม เป็นข้าราชการมายาวนานกว่า 20 ปี แต่ตัดสินใจทิ้งอาชีพที่มั่นคง หันหน้าพลิกผืนนาอาชีพหลักของครอบครัว ยึดหลักทำเกษตรด้วยหลักธรรมะ
คือการเกื้อกูลกัน ไม่เอาเปรียบธรรมชาติ ด้วยการไม่ใช้สารเคมี แต่ฟื้นฟูด้วยอินทรีย์ล้วนๆ ทั้งยังอาศัยธรรมชาติบำบัดดูแลร่างกาย จากเดิมป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ อ้วนลงพุง พอเมื่อมาทำเกษตรด้วยมือของตนเอง กลับลดน้ำหนักลง และหมดกังวลในโรคภัยที่รุมเร้า
ด้านถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้นำเกษตรกรรมพึ่งตนเอง เป็นประสบการณ์ของนายชัยพร พรหมพันธุ์ ที่ถ่ายทอดว่า ในอดีตเคยเป็นผู้นำ ถึงขนาดได้รางวัลที่ 1 ในการใช้สารเคมีกับแปลงนามาตลอด กระทั่งมีนักการเกษตรมาถ่ายทอดความรู้ให้ฟังเรื่องการใช้ยาฆ่าแมลง ก็พบว่าแมลงที่มีประโยชน์กับพืชมีมากกว่า 20 ชนิด ขณะที่แมลงไม่มีประโยชน์กับพืชมีเพียง 6 ชนิดเท่านั้น
จากนั้นจึงเริ่มคิด และมีโอกาสช่วยดูแลแปลงทดลองของอาจารย์เดชา ศิริพัฒน์ นักวิชาการที่ทดลองนำสมุนไพรไล่แมลงศัตรูพืช จนค้นพบว่าการใช้สารเคมีต้องลงทุนสูงถึงไร่ละ 7,000-8,000 บาท แต่ถ้าใช้สมุนไพรไล่แมลง ลงทุนเพียงไร่ละ 2,000 บาทเท่านั้น
"นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่นำมาใช้กับตัวเอง เลิกสารเคมี ใช้สมุนไพรก็อยู่ได้ ผลผลิตไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ต่างกัน คือการลงทุนที่น้อยลง และผลกำไรที่เหลือเป็นรายได้เลี้ยงชีพมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ถ้าจะเรียกให้ง่าย ก็คือการทำเกษตรแบบลดต้น ทุนหรือทำเกษตรอินทรีย์ โดยมีหลักการคิดง่ายๆ คือ รับจ้างตัวเอง เมื่อทุนน้อยกำไรก็มาก" ชัยพร กล่าว
อีกคนเป็นเยาว ชนที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ คือ สมพร ทองเพิ่ม ที่ถูกเรียกขานว่า "บัณฑิตนักปฏิบัติ" สมพรจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช
หลังสำเร็จการศึกษาไปสมัครเป็นครูสอนวิชาชีพของกศน. แต่ด้วยใจรักการทำเกษตร กรรมที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก เพราะพ่อแม่เป็นเกษตรกร
ในที่สุด สมพรจึงตัดสินใจซื้อที่ดิน 4 ไร่ ทดลองปลูกกล้วยหอม นำผลผลิตออกมาขายในตลาดตอนเย็น มีรายได้เพิ่มวันละ 300-500 บาท มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ
ทุกวันนี้ สมพรลาออกจากงานประจำมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว และเห็นจุดอ่อนของระบบการผลิตของคนรุ่นพ่อแม่ ที่มักปลูกได้แต่ขายไม่เป็น เขาจึงตัดพ่อค้าคนกลางออกจากการขายกล้วยหอม
สิ่งที่มากกว่านั้น สมพรยังเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นในชุมชนเข้ามาเรียนรู้ และฝึกอาชีพการเกษตรกับเขา โดยย้ำกับเยาวชนที่มาว่า "อาชีพเกษตรไม่อาจทำให้ร่ำรวยได้ แต่ที่ได้มากกว่าคือ ความสุขใจ และคุณค่าความพอเพียงในการดำรงชีพ"
ทั้ง 3 ชีวิตให้ข้อคิด และแนวทางการดำเนินวิถีเกษตรกรรมอินทรีย์ พอเพียงในอาชีพที่รัก มีความสุขตามอัตภาพ
ด้าน ศ.ระพี สาคริก ผู้จุดประกายระพีเสวนา ให้ข้อคิดช่วงปลายของการเสวนา ด้วยประโยคสั้นๆ ว่า
เกษตรกรไทยทุกวันนี้ กลายเป็นกรรม กรรับจ้างเยอะ เราควรหันมากู้แผ่นดินที่ทำการเกษตรของเรากลับคืนมา และเกษตรกรรมไม่ใช่อาชีพ แต่เปรียบเสมือนวัฒนธรรมของไทย
หน้า 6
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น