บ.ซีแคนูไทยแลนด์ จำกัด บ้าน ร๊อคการ์เด้นท์ 125/461 บ้านทุ่งคา - บ้านสะปำ ต. รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 โทรศัพท์ 076 528839 - 40 โทรสาร 076 258841 อีเมล์: info@seacanoe.net เว็บไซต์ http://www.seacanoe.net/ Please visit my blog.Thank you so much. http://www.sanamluang.bloggang.com / http://tham-manamai.blogspot.com / http://www.parent-youth.net/ http://www.tzuchithailand.org/ http://www.pdc.go.th/ http://www.presscouncil.or.th / http://thainetizen.org/ http://www.ictforall.org

"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Bookmark and Share
Blognone

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บาม นครแห่งโคลน มหานครของโลกยุคอดีตกาล อัญมณีล้ำค่าบนเส้นทางสายไหม กับความพยายามในการบูรณะหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2546

Life Style : ศิลปวัฒนธรรม

วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 01:00

บาม นครแห่งโคลน

เมืองบามก่อนแผ่นดินไหว พ.ศ.2546

เมืองบามหลังแผ่นดินไหว และอยู่ระหว่างการบูรณะ

ภาพประกอบข่าว
มหานครของโลกยุคอดีตกาล อัญมณีล้ำค่าบนเส้นทางสายไหม กับความพยายามในการบูรณะหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2546
 
สี่นาฬิกาของวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2546 เกิดแผ่นดินไหวความสั่นสะเทือนขนาด 6.3 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศอิหร่าน ธรณีพิโรธครั้งนั้นสร้างความเสียหายใหญ่หลวง และรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 43,000 คน อาคารสิ่งปลูกสร้างในเขตเมืองและปริมณฑล พังทลายลงกลายเป็นเพียงเศษซากอิฐปูน 

ข่าวภัยพิบัติที่กระจายไปทั่วโลก ก่อเกิดกระแสความสนใจมุ่งตรงสู่เมืองเล็กๆ ของอิหร่านที่มีนามว่า “บาม” (Bam) มหานครโบราณอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวโลกมานาน ให้หวนคืนมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง

ในบรรดามหานครของโลกยุคอดีตกาล “บาม” เปรียบได้กับอัญมณีล้ำค่าที่ถือกำเนิดบนเส้นทางสายไหม เส้นทางการค้าเก่าแก่เชื่อมโลกตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน แม้ว่าบามจะไม่ใช่นครหลักบนเส้นทางสายไหมอย่างตุนหวงของจีน คัชการ์และเมอฟในเอเชียกลาง หรือฮะมะดานในอิหร่าน แต่บามก็รุ่งเรืองเฟื่องฟูจากการเป็นสถานีค้าขายที่เชื่อมต่อเส้นทางสายไหมสายหลัก สู่เครือข่ายการค้าในเขตที่ราบสูงอิหร่านลงไปจนถึงตะวันตกของชมพูทวีป เมื่อประสานกับเส้นทางคาราวานในอารเบียแล้ว บามจึงเป็นแหล่งส่งผ่านสินค้าจากโลกตะวันออกไปสู่ดินแดนอิหร่าน อารเบีย และทะเลอาหรับ

เมืองบามตั้งอยู่ในแคว้นเคอร์มาน (Kerman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิหร่าน ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 2-3 โดยราชวงศ์พาเธียน ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของอิหร่านระหว่าง 247 ปีก่อนคริสต์กาลจนถึงราว ค.ศ.226

ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซัสซานิด (ค.ศ.226-651) บามได้กลายเป็นศูนย์กลางการแสวงบุญ ของศาสนิกโซโรแอสเตอร์หรือพวกที่นับถือลัทธิบูชาไฟ เนื่องจากภายในเมืองบามมีวิหารบูชาไฟตั้งอยู่หลายแห่ง

เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10-12 ในสมัยอิสลาม บามเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าเขตดินแดนตอนในของอิหร่าน หนังสือซุรัต อุล อัดร์ หรือภูมิลักษณ์ของโลก เขียนโดย อาบูลกาซิม อิบน์ฮอร์กุล (ค.ศ.943-969) นักเดินทางและนักภูมิศาสตร์ชาวอาหรับกล่าวว่า บามเป็นแหล่งรวบรวมฝ้ายคุณภาพดี รวมทั้งแพรพรรณนานาชนิดซึ่งส่งไปขายไกลถึงอิรักและอียิปต์

ในสมัยราชวงศ์ซาฟาวี (ค.ศ.1502-1722) บามจัดเป็นมหานครขนาดใหญ่ไม่แพ้เมืองสำคัญๆ ของอิหร่าน ตัวเมืองขยายไปจนมีขนาดถึงราว 6 ตารางกิโลเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงและป้อมปราการถึง 38 แห่ง มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ  9,000 ถึง 13,000 คน

เมืองบามเริ่มลดความสำคัญลงราว ค.ศ.1722 เมื่อกองทัพของพวกอัฟกันรุกรานเข้ามาสู่อิหร่าน ทำให้พลเมืองอพยพลี้ภัยออกไป จนถึง ค.ศ. 1890 ในสมัยราชวงศ์กอญัร (ค.ศ.1781-1925) ทางราชการได้ประกาศให้ประชาชนอพยพออกจากเขตเมืองเก่า และใช้ตัวเมืองโบราณเป็นป้อมทหาร เมื่อถึง ค.ศ.1932 ในสมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี (ค.ศ.1925-1979) รัฐบาลอิหร่านประกาศให้บามเป็นเขตโบราณสถาน และได้เริ่มดำเนินการบูรณะเมืองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 จนทุกวันนี้

ความมหัศจรรย์ของบามมาจากรูปแบบและเทคนิกการก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม ตั้งแต่กำแพงเมือง ป้อมปราการ มัสยิด ศาสนสถาน สถานที่ราชการ ร้านค้าจนถึงบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ล้วนก่อขึ้นจากดินและโคลนซึ่งเป็นวัสดุหลักที่นำมาทำเป็นอิฐตากแห้ง ก่อนนำไปก่อเป็นผนังและโครงสร้าง นอกจากนี้ส่วนของเสาไม้และวัสดุมุงได้มาจากต้นและใบอินทผลัมซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลูกกันมากในเขตเมืองบาม  

ตลอดเวลากว่าพันปี วิธีการสร้างอาคารต่างๆ ยังคงลักษณะดั้งเดิม ทำให้บามกลายเป็นเมืองโคลนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหตุผลสำคัญที่อาคารส่วนใหญ่ใช้ดินและโคลนพอกพูนเป็นสถาปัตยกรรมต่างๆ เนื่องจากบามเป็นนครกลางทะเลทราย แต่ละปีฝนตกน้อยมากอากาศจึงแห้งแล้ง ดินและดินผสมน้ำหรือโคลนเป็นวิธีการก่อสร้างที่ชาวเมืองคุ้นเคยถ่ายทอดกันมานับพันปี นอกจากนี้ผนังดินยังช่วยป้องกันความร้อนในตอนกลางวัน และช่วยให้ความอบอุ่นในเวลากลางคืนท่ามกลางภูมิอากาศเลวร้ายของทะเลทราย

ความพิเศษดังกล่าว ทำให้ UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียนบามเป็นมรดกโลกเมื่อ ค.ศ.2004

หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2546 ทางการอิหร่านได้ดำเนินการบูรณะโบราณสถานที่บามมาตั้งแต่ พ.ศ.2547 มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปใช้เพื่อค้ำจุนและเสริมโครงสร้างเดิม รวมทั้งนำวัสดุประเภทไฟเบอร์กลาส ที่ทอเป็นแผ่นบางทาบลงไปตามผนัง ก่อนพอกโคลนเพื่อยึดโครงสร้างให้แข็งแรงทนต่อแรงสั่นสะเทือน ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าเมืองโบราณจะคืนสภาพกลับมางดงามเหมือนเดิมอีกครั้ง

อย่างไรก็ดีการพังทลายของนครแห่งโคลน มิใช่จะเป็นเรื่องเลวร้ายเสียทั้งหมด เพราะนักโบราณคดีได้ค้นพบร่องรอยหลักฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายจากการสำรวจขุดค้นเขตเมืองเก่า

อีกไม่นานนักความจริงเกี่ยวกับนครโบราณอายุกว่า 2,000 ปี คงได้เปิดเผยต่อชาวโลก และอาจช่วยไขปริศนาที่ผู้คนยุคก่อนทิ้งไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้ค้นหาคำตอบต่อไป

...........................................................

(ดร.จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com

รายการบล็อกของฉัน